Bluetooth เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ใช้สื่อสารหรือรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์สองตัวแบบไร้สาย โดยใช้คลื่นวิทยุความถี่ช่วง 2.4 GHz ในการสื่อสาร เฉกเช่นเดียวกับ WiFi เพียงแต่ว่าเป็นคนละโปรโตคอล (Protocol) กัน และมาตรฐาน Bluetooth อยู่ภายใต้การดูแลของ Bluetooth Special Interest Group (Bluetooth SIG) ที่คอยพัฒนาและกำหนดมาตรฐานของ Bluetooth ในแต่ละเวอร์ชัน
พัฒนาการของ Bluetooth
ในสมัยแอนดรอยด์ 2.2 เริ่มเข้ามาในบ้านเรา ตอนนั้นก็มี Bluetooth ติดเครื่องกันมานานแล้ว Bluetooth 2.0 ถือเป็นพื้นฐานขั้นต่ำสำหรับเครื่องที่มี Bluetooth และได้พัฒนาเป็น Bluetooth 2.1 เพื่อปรับปรุงในเรื่องของความปลอดภัยและความเสถียรของสัญญาณ
แต่ข้อด้อยของ 2.0 ก็คือช้า ความเร็วสูงสุดได้ 2.1Mbps แถมเวลาใช้งานจริงๆความเร็วก็ไม่เคยได้ความเร็วสูงสุดเลย จึงทำให้มีการพัฒนาขึ้นมาเป็น Bluetooth 3.0 เพื่อให้มีความเร็วเพิ่มมากขึ้นถึง 24 Mpbs ซึ่งถือว่าดีขึ้นมาก ตอนนั้นแอนดรอยด์ที่เริ่มมี Bluetooth 3.0 ก็ยังอยู่ในช่วง Android 2.3 - 3.0 และหลังจากนั้นก็มีทั้งเครื่องที่เป็น Bluetooth 2.0 และ Bluetooth 3.0 (ขึ้นอยู่กับสเปค)
การมาของ Bluetooth 4.0 นั้นแตกต่างจากเดิม เพราะว่าการพัฒนาในเรื่องความเร็วนั้นไม่ใช่คำตอบที่จำเป็นแล้วในเมื่อ WiFi ยังไงก็เร็วกว่า ดังนั้น Bluetooth 4.0 จึงหันไปพัฒนาในด้านของการประหยัดพลังงานแทน จึงได้ออกมาเป็น Bluetooth Low Energy หรือที่รู้จักกันว่า Bluetooth LE หรือ BLE ซึ่งเริ่มเข้ามามีบทบาทใน Android 4.3 เป็นต้นมา และมีการพัฒนามาเป็น Bluetooth 4.1 ที่ปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น และล่าสุดเป็น Bluetooth 4.2 ที่เพิ่มในเรื่องของ IoT เข้ามาด้วย แต่ยังไม่มีอุปกรณ์แอนดรอยด์ตัวไหนใช้งาน Bluetooth 4.2
Bluetooth 4.0 ใช้งานกับ Bluetooth 2.0 ได้หรือไม่
เวอร์ชันของ Bluetooth ไม่ต่างอะไรกับเวอร์ชันของแอนดรอยด์ เพราะเวอร์ชันใหม่กว่ารองรับฟีเจอร์และการทำงานของเวอร์ชันเก่าอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเครื่องที่ใช้อยู่เป็น Bluetooth 4.1 ก็รองรับการทำงานของ Bluetooth 2.0 2.1 และ 3.0 อยู่แล้ว แต่ต้องดูด้วยว่าจะใช้งานอะไร เช่น ต่อรีโมตกับไม้เซลฟี่ ถ้าแบบนั้นจะ Bluetooth 2.0 หรือ Bluetooth 4.0 มันก็ใช้ได้หมด แต่ถ้าซื้อ Android Wear มาใช้งาน จะต้องเป็น Bluetooth 4.0 เท่านั้น
เลขเวอร์ชันของ Bluetooth สื่อถึงอะไร
เลขเวอร์ชันหลัก (Major Version) อย่างเช่น 2.0, 3.0 และ 4.0 คือมีการเปลี่ยนแปลงในระดับฮาร์ดแวร์ แต่ในเลขเวอร์ชันรอง (Minor Version) อย่างเช่น 4.1 หรือ 4.2 เป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับซอฟต์แวร์
หรือก็คือ Bluetooth 4.0, 4.1 และ 4.2 ไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่ แค่อัพเดทซอฟต์แวร์ใหม่ก็ได้แล้ว
Bluetooth 2.0+EDR และ Bluetooth 3.0+HS คืออะไร ?
EDR ย่อมาจาก Enhanced Data Rate ส่วน HS ก็คือ High-Speed หรือก็คือมีการปรับปรุงความเร็วให้เพิ่มขึ้นนั่นเอง
จากเดิม Bluetooth 2.0 ธรรมดาๆจะมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลอยู่ที่ 2.1 Mbps แต่ถ้าเป็น Bluetooth 2.0 +EDR จะมีการปรับปรุงความเร็วให้เพิ่มมากขึ้นเป็น 3 Mbps แทน แต่สำหรับ Bluetooth 3.0 นั้นส่วนมากจะ +HS ทั้งหมด (ก็ยังไม่เห็นตัวไหนที่ไม่มี High-Speed) ซึ่งมีความเร็วที่ 24 Mbps
และถ้าเป็น Bluetooth 4.0 บางทีจะเห็นคำว่า APT-x ต่อท้ายด้วย นั่นก็คือ Bluetooth ตัวนี้รองรับ Audio Codec Compression หรือรูปแบบการเข้ารหัสของข้อมูลเสียงแบบ APT-x นั่นเอง ซึ่งเป็นการเข้ารหัสข้อมูลเสียงที่บริษัท CSR (ผู้ผลิตอุปกรณ์ Bluetooth) คิดค้นขึ้น เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลเสียงคุณภาพสูงได้โดยส่งข้อมูลผ่าน A2DP เหมือนเดิม (เดิมทีมันรับส่งข้อมูลเสียงแบบคุณภาพสูงไม่ไหว)
ฟีเจอร์ต่างๆใน Bluetooth ที่ใช้บ่อยๆบนแอนดรอยด์
Bluetooth หนึ่งตัวก็จะประกอบไปด้วย Profile หลายๆแบบด้วยกัน ชื่อเรียกต่างๆของ Bluetooth ไม่ว่าจะเป็น A2DP, AVRCP, HID หรือ BLE พวกนี้คือ Feature ที่มีอยู่ใน Bluetooth เพียงแต่ว่าแต่ละ Profile จะถูกใช้งานในคนละด้านแตกต่างกันไป
A2DP (Advanced Audio Distribution Profile) คือ Sound Streaming นั่นเอง เวลาที่คุณซื้อ Bluetooth Speaker /Headset/Earphone มาใช้ เวลาเชื่อมต่อมันจะเชื่อมต่อแบบ A2DP
AVRCP (Audio/Video Remote Control Profile) คือ Remote Control ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ใช้ Bluetooth Headset อยู่ สามารถกดเพิ่ม/ลดเสียง หรือสั่งเล่นเพลงถัดไปได้ จะใช้ Profile ตัวนี้ รวมไปถึงรีโมตจากไม้เซลฟี่ด้วย
HID (Human Interface Device Profile) ให้นึกถึง USB เป็น Profile สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์จำพวก Mouse, Keyboard หรือ Joystick ที่เอาไว้ควบคุมเครื่องผ่าน Bluetooth นั่นเอง เช่น ถ้าซื้อ Bluetooth Keyboard มาเอาไว้ต่อกับแอนดรอยด์เพื่อพิมพ์งาน มันก็จะเชื่อมต่อผ่าน HID
ทำไม Bluetooth Speaker/Headset/Earphone บางตัวเสียงช้า (Delay)
ทั้งนี้ก็เพราะว่าเป็น Bluetooth 2.0 นั่นเอง ให้เช็คดูข้างกล่อง หรืออุปกรณ์แอนดรอยด์ที่ใช้อยู่เป็นแค่ Bluetooth 2.0 ซึ่งมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลน้อย แต่เวลารับส่งข้อมูลจำพวกเสียงมันต้องใช้ความเร็วมากกว่านั้นเพื่อให้มัน Realtime จึงเป็นเรื่องปกติที่เสียงจะดีเลย์ ซึ่งเดิมที Bluetooth 2.0 เน้นฟังเพลงซะมากกว่า เพราะฟังแค่เพลงไม่จำเป็นต้อง Realtime มากนัก ดังนั้นวิธีแก้ไขคือไปหาซื้อตัวที่เป็น Bluetooth 3.0 ดูว่าอุปกรณ์นั้นรองรับ Bluetooth 3.0 หรือไม่ และอุปกรณ์แอนดรอยด์ที่ใช้อยู่รองรับ Bluetooth 3.0 ขึ้นไปหรือไม่ ถ้าใช่ทั้งสองอย่างก็จะไม่เจอปัญหาเรื่องเสียงดีเลย์แต่อย่างใด
http://droidsans.com/bluetooth_technology_with_android