วิธีการเลือกซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)
ชนิดของแบตเตอรี่ (Battery Type)
ชนิดของแบตเตอรี่ที่นิยมใช้กับ Power Bank หรือแบตเตอรีสำรองมีอยู่ 2 ชนิด คือ แบบลิเธียมไอออน (Lithium Ion) และแบบลิเธียมโพลิเมอร์ (Lithium Polymer) โดยที่แบบลิเธียมโพลิเมอร์จะมีราคาสูงกว่าแต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เช่นเดียวกับแบตมือถือ ดังนั้นถ้างบประมาณเพียงพอ ก็สามารถเลือกแบบลิเธียมโพลิเมอร์ได้ แต่ถ้างบประมาณจำกัด การเลือกใช้แบบลิเธียมไอออนก็ไม่ได้เสียหาย
ปัจจัยที่ทำให้แบตเตอร์รี่หมดเร็ว
อุปกรณ์สมาร์ทโฟนปัจจุบันมีความสามารถมาก แต่ใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากด้วย ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอร์รี่มากน้อยของการใช้งานแต่ละคน มีดังนี้
- ขนาดหน้าจอและความละเอียด เป็นส่วนของอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากที่สุดเลย
- ความสว่างของหน้าจอ ยิ่งสว่างมากใช้พลังงานมาก
- รับสัญญาณ 4G หรือ WiFi ถ้ากำลังรับสัญญาณ 4G จะใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากกว่าใช้ WiFi
- ระยะเวลาการใช้โทรเข้า/ออก
- ระยะเวลาการใช้แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เช่น เปิดซิงค์อีเมล์ทุก 5 นาที จะใช้พลังงานมาก
- ประเภทของแอพ เช่น แอพเกมส์จะใช้พลังงานจากแบตเตอร์รี่มากกว่าแอพอีเมล์/เฟสบุ๊ค
ดังนั้น ตอนเลือกซื้อมือถือ / แทบเลต "ห้ามพิจารณา" เฉพาะสเปคเครื่องเท่านั้น แต่ให้ดู "ความจุของแบตเตอร์รี่" ด้วย ซึ่งในท้องตลาด ณ ตอนนี้ สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ขนาด 5 นิ้วขึ้นไป ควรมีแบตเตอร์รี่ความจุอย่างน้อย 3,000 mA และ แทบเล็ตควรมีความจุของแบตเตอร์รี่อย่างน้อย 6,000 mA ถ้าความจุแบตเตอร์รี่น้อยกว่านี้ .. อาจใช้งานได้แค่ 4-6 ชั่วโมงก็แบตเตอร์รี่หมดแล้ว
ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)
(1) ความจุของแบตเตอร์รี่มือถือ/แทบเลตของคุณ x 2.5 เป็นอย่างน้อย – 30% ของความจุแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)
-ความจุของแบตเตอร์รี่ คือ 3,000 มิลลิแอมป์ ให้ x2.5 เข้าไป ได้ค่าเท่ากับ 7,500 มิลลิแอมป์
-ความจุเป้าหมายของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) คือ 7,500 x30% ได้ค่าเท่ากับ 2,250 มิลลิแอมป์
-ความจุที่จะได้จริงเพื่อเอาไปใช้งานของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) คือ 7,500 – 2,250 ได้เท่ากับ 5,250 มิลลิแอมป์
ดังนั้น ควรหาความจุของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ที่จุได้อย่างน้อย 7,500 มิลลิแอมป์ชึ้นไปเท่านั้น เพื่อจะชาร์ต ได้อย่างน้อย 2 รอบ (รอบละ 50%)
(2) อัตราการรับไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) และอัตราการจ่ายไฟออกจากแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ให้กับมือถือ / แทบเล็ต
ให้พิจารณาที่ฉลากข้างกล่องตรงที่พิมพ์
Input : DC 5V – 2.1 A (max)
หมายความว่า ตอนชาร์ตไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าไปเก็บสูงสุดต่อหน่วยเวลา คือ 2.1 แอมป์ (ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เร็วมากและปลอดภัยสำหรับแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ) ดังนั้น ถ้าพิมพ์ว่า 1.0 A (max) ก็แสดงว่า ชาร์ตไฟบ้านเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) นานมาก ยิ่งความจุ 10,000 มิลลิแอมป์ อาจต้องใช้เวลานานถึง 15 ชั่วโมง
Output : DC 5V – 2.1 A
หมายความว่า ตอนชาร์ตมือถือ / แทบเล็ตเข้ากับตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แล้ว กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าสูงสุดต่อหน่วยเวลา คือ 2.1 แอมป์ (ยิ่งมาก ยิ่งดี 2.1 A ถือว่าเร็ว ซึ่งปกติในท้องตลาดจะมี 1.0 A กับ 2.1 A )
รักษาแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ยังไงให้ทนทาน ?
ตอนซื้อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ครั้งแรกให้ชาร์ตด้วยอัตราไฟเข้าต่ำ (ถ้าทำได้) คือ ไม่ใช้ไฟบ้านวิ่งเข้าตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) โดยตรงครับ แต่ให้ใช้ไฟจากคอมพิวเตอร์ / Notebook เป็นแหล่งจ่ายไฟเข้าแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) แทนก่อน ถ้าใช้แหล่งไฟจากไฟบ้าน ควรชาร์ตครั้งแรก 12 ชั่วโมงต่อความจุของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) 10,000 มิลลิแอมป์ ถ้าใช้แหล่งไฟจากคอมพิวเตอร์ / Notebook ควรชาร์ตครั้งแรก 24 ชั่วโมงต่อความจุของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) 10,000 มิลลิแอมป์
เหตุผลที่ครั้งแรกให้ชาร์ตด้วยอัตราไฟเข้าต่ำ เพราะต้องการกระตุ้นเซลล์เก็บประจุ ประเภท Li-On ของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เองให้ครบทุกเซลล์ หลังจากครั้งแรกแล้ว ถ้าสามารถชาร์ตแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ด้วยไฟต่ำได้เสมอจะรักษาให้แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) มีอายุการใช้งานนานขึ้น แต่ถ้าไม่สะดวกก็ขาร์จไฟบ้านตามปกติได้ แต่อายุการใช้งานก็จะเป็นไปตามจริง (อายุการใช้งาน 1-2 ปี แล้วแต่การใช้งาน)
ควรเก็บแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ให้ห่างความร้อน ยิ่งใกล้ความร้อนตัวเซลล์ในแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เองจะเสื่อมไว ดังนั้นงดวางไว้ในรถที่ตากแดด / หลังอุปกรณ์คอมพ์ที่ร้อ
แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) จะเสื่อมเร็วถ้าต่อแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)เข้ากับมือถือ / แทบเล็ต แล้วใช้อุปกรณ์เข้าเน็ต / เล่นเกมส์ไปด้วย ดังนั้น ควรปล่อยให้แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)จ่ายไฟเข้าอุปกรณ์มือถือ / แทบเล็ตจนเต็ม แล้วถอดปลั๊กออก จึงค่อยใช้งานอุปกรณ์
แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) จะเสื่อมเร็วมากขึ้น ถ้าไม่ชาร์จไฟให้เต็มอยู่เสมอ หากเห็นว่าสถานะไฟบนตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) เหลือต่ำกว่า 30% แล้ว “ควรหยุดใช้งาน” เพราะถ้าหากใช้แบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) พ่วงต่อเข้าไปยังมือถือ / แทบเล็ต อีก จนไฟในตัวแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank)หมด ประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอร์รี่สำรอง (Power Bank) ในอนาคตจะยิ่งเสื่อมเร็วมากยิ่งขึ้น